hhg

Epilogue ความทรมานแห่งการรอคอยมีวันสิ้นสุดเสมอ 2 ปีต่อมา ภาพของเหมือนคินทร์ในความคิดของเมืองน่านไม่ค่อยชัดเจน เท่าไหร่นัก มันเลือนราง ฟุ้งๆ เหมือนภาพแห่งความฝัน สองปีแล้วที่ คนตัวเล็กได้แต่เฝ้ารอการกลับมาของใครอีกคน เขาเชื่อว่าคนตัวสูงจะ ต้องกลับมาในสักวันหนึ่ง และหน้าที่ของเขาก็คือการตั้งหน้าตั้งตารอ คอยต่อไป เขาได้ข่าวของเหมือนคินทร์ในช่วงสองเดือนแรกหลังจาก เจ้าตัวเดินทางกลับอเมริกา และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ข่าวอีกฝ่ายอีก เลย น่านมั่นใจว่าเหนือคงจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ เดินทางและ หยุดพักไปเรื่อยๆ จากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่ง เพียงแต่เขาก็ได้แต่หวัง ว่าที่สุดท้ายจะมาถึงในเร็ววัน ตอนนี้เมืองน่านเรียนอยู่ปีสี่ การเรียนค่อนข้างหนัก กิจกรรมก็ เยอะเช่นเดียวกัน เขาจึงไม่มีเวลามานั่งคิดฟุ้งซ่านเท่าไหร่ ครอบครัว ของเขาเองก็ยังคงเหมือนเดิม คนตัวเล็กยอมรับที่พ่อไม่สนใจมา ตั้งแต่แรกได้แล้ว แต่เขาก็ดีใจที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยอมรับในการ ตัดสินใจของเขา ใช้ชีวิตของเมืองน่านที่เป็นเมืองน่านจริงๆ “หมอกเป็นอะไร เห็นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” เมืองน่านมักสงสัย พฤติกรรมแปลกประหลาดของเพื่อนอย่างสัตยา เขาเจ...

ii

Special I


deep kiss


เวลาไม่ได้พรากทุกสิ่งเพียงอย่างเดียว แต่กำลังหวนคืนอะไรบางอย่างในความทรงจำกลับมา หลังจากผลักประตูเข้าไป...


และเหมือนคินทร์กล่าวทักทายเป็นคนแรก.....


ชีวิตของพวกเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากต้อง รอคอยน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจยาวนานนับปี


"เอ่อ..." เมืองน่านตอบไม่เต็มเสียงนัก หรือจะพูดง่ายๆ คือเขา ตื่นเต้นมากที่ได้เจอกับเจ้าของรอยยิ้มในความทรงจำ จริงอยู่ที่แบก ความหวังและการรอคอยมาเป็นเวลานาน เดินทางไกลจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่ด้วยหัวใจเปี่ยมล้น แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งมันจะสิ้นสุดลง คำว่า 'สมหวัง'


ฝันของเบากลายเป็นจริง


“ผมชื่อเหมือนคินทร์ คุณจำได้มั้ย"


"ผมชื่อเมืองน่าน"


"นั่งก่อนเถอะครับ เดี๋ยวคุณจะเมื่อยเอา" ร่างเล็กทำหน้ามุ่ย


ทันที


กลับมาเรียกคุณอีกแล้ว เขาได้แต่คิดในใจ แต่ก็ยังสวมบท


ลูกค้าได้อย่างแนบเนียน


เท้าเล็กก้าวไปยังโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ตรงมุมร้าน กวาดสายตา สำรวจไปทั่วจนอยากจะด่าเหมือนดินทร์นักว่าทำไมถึงได้มีแต่ลูกค้า ผู้หญิงสวยๆ เต็มไปหมด บางทีเมืองน่านอาจจะงี่เง่าไปเอง แต่ ระยะเวลาสองปีที่เขาไม่ได้พบกัน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถูกสาวๆ ให้ท่าไปแล้ว ก็คน


"รับอะไรดีครับ" กายสูงเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ ซึ่งทำให้ใคร หลายๆ คนอดสงสัยไม่ได้ เพราะไม่มีครั้งไหนที่เหมือนคินทร์จะออกมา รับออเดอร์เอง เนื่องจากลูกค้าต้องทำหน้าที่จดใส่กระดาษไปยื่นให้ตรง เคาน์เตอร์เท่านั้น


"ไม่รู้ ผมยังไม่ได้คิด"


"คุณควรดีใจนะที่ผมเดินออกมาถามขนาดนี้”


ดวงตาซ้อนมองร่างสูงซึ่งยืนอยู่เหนือศีรษะของเขา อยากยิ้ม ตอบแต่ก็ต้องรักษาฟอร์มเอาไว้ ทำทีเป็นลูกค้า เรียกสรรพนามแปลก ประหลาดของพวกเขาต่อไป


“ผมคิดไม่ออก คุณมีอะไรแนะนำมั้ยล่ะ"


"งั้นเหมือนเดิมแล้วกันนะครับ"


พูดจบเหมือนคินทร์ก็รีบเดินกลับไปยังจุดเดิม ทิ้งให้คนตัวเล็ก ต้องควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติที่สุด แม้มันจะเป็นไป ไม่ได้เลยก็ตาม


คำว่า 'เหมือนเดิม' กระแทกหัวของเขาอย่างจัง เหมือนคินทร์ ยังจําได้อีกเหรอว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร สองปีบางทีอาจมี หลายอย่างเปลี่ยนไป เขาคิดอย่างนั้น แต่ไม่เลย เมืองน่านกลับพบ ความจริงว่าแท้จริงแล้วในตัวของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รวมถึง

ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าของร้านรูปหล่อคนนี้ด้วย


ที่ร้าน Seasky มีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาไม่ขาดสาย มาก จนที่นั่งแทบไม่พอ แต่กลับไม่ได้เสียงดังจอแจอย่างที่คิด เมืองน่าน เฝ้าดูบรรยากาศโดยรอบไปพลางๆ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่จะหลุดความ สนใจจากร่างสูงได้นานเกินหนึ่งนาที


เขาได้แต่พิจารณา เอียงคอมองบาริสต้าสุดหล่อหยิบโน่นจับนี้ ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ร่างสูงสวมเสื้อยืดสีขาว ตัดกับผ้ากันเปื้อน สีดำซึ่งสกรีนชื่อร้าน ยิ่งทําให้เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหมือนคินทร์ มาถึงจุดนี้ได้ยังไง


จุดที่คนเคยเกลียดกาแฟคนหนึ่งเริ่มต้นทำร้านกาแฟและก็ดู เข้ากันได้ดีเสียเหลือเกิน


"ยินดีต้อนรับครับ" เสียงทุ้มโพล่งขึ้นหลังจากลูกค้าสองคนใน


ชุดนักศึกษาเดินเข้ามา


"พี่คะ เหมือนเดิมค่ะ"


"ครับผม" รอยยิ้มแบบนั้น...


เมืองน่านแทบอยากจะลุกไปตีปากเหมือนคินทร์ให้แตก เพราะ ใช่ว่าเขาจะได้รับรอยยิ้มแบบนั้นคนเดียวเสียเมื่อไหร่ คนอื่นๆ ก็ได้รับ เหมือนกัน


พวกเธอตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ ซึ่งมีเก้าอี้ทรงสูงติดกับบาร์ ด้านหน้าและทิ้งตัวนั่งลง


ใกล้เกินไปแล้ว


เมืองน่านได้แต่คิดในใจ และมั่นใจว่าคงเป็นแบบนี้ทุกวัน ซึ่งก็


ไม่เป็นไรหรอกเพราะเขาไม่ได้รับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แล้ว เขาเห็นทุกอย่างเต็มสองตา เหมือนดินทร์ยังมีความสุขดี ไม่ได้ทนทุกข์กับการต้องอยู่ลำพัง ขณะที่ตัวเองแทบจะร้องไห้วันละ หลายๆ ครั้งตอนที่ต้องจากกันในช่วงแรก


เขากาปฏิทิน กาแล้วกาอีก นับวันรอคอยโดยไม่คิดออกตามหา ถ้ากระทู้ในพันทิปไม่บอกกับเขา เมืองน่านมั่นใจว่าเขาก็ยังคงกาปฏิทิน ใบเดิมนั้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด


"ร้านผมไม่ขายแอลกอฮอล์นะ แต่นี่สำหรับคุณโดยเฉพาะ” มือ หนาวางกระป๋องเบียร์ไว้บนโต๊ะ ร่างบางพยักหน้าหมึกหงักแต่ไม่ยอม พูดอะไรต่อ


"เดี๋ยวขอตัวไปทำกาแฟก่อน แล้วจะมาคุยด้วยนะครับ"


"ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร"


"ผมมีเวลาให้คุณเสมอ"


เหนือนอินทร์เอื้อมมือไปขยี้หัวคนตัวเล็ก ก่อนจะกลับไป ทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ซึ่งมันคงดีกว่านี้หากพวกเขาไม่ได้อยู่ในร้านที่มี คนแน่นขนัด และมีสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องมองมาด้วยความสงสัย


“พี่เหนือ ช่วงนี้ไม่เห็นเข้าไปในมหาลัยบ้างเลย" เสียงผู้หญิง หน้าเคาน์เตอร์เริ่มประเด็น เธอไม่ได้พูดดังมาก แต่เมืองน่านต่างหากที่ จงใจฟังมันด้วยความพยายาม


"ช่วงนี้ยุ่งครับ"


"พวกแก๊งถ่ายภาพถามหาพี่ให้ควั่ก มันบอกอยากชวนไปถ่าย ทางช้างเผือกที่ดอยอินทนนท์"


“อ่า....น่าสนใจ เดี๋ยวไว้วันสองวันได้เข้าไปที่ตึกนิเทศค่อยคุย


กัน"


“แล้ววันนี้หลังร้านปิดว่างมั้ยคะ"


“ทำไมครับ”


"จะชวนไปปาร์ตี้"


“ตอนแรกว่างครับ...” ว่าพลางจ้องไปที่เมืองน่านเขม็ง


"แต่ตอนนี้ไม่ว่างแล้ว"


"ร้า! เสียดาย กะพาคนหล่อไปเปิดตัวที่งานสักหน่อย"


"นี่ก็เปิดตัวจนไม่รู้จะเปิดยังไงแล้ว" คำพูดของร่างสูงทำให้ เมืองน่านลอบเบะปากอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปดื่มเบียร์ตรงหน้าเพื่อ ดับอารมณ์คุกรุ่นบางอย่าง


"เมื่อไหร่พี่จะหาแฟน” นั่นเป็นคำถามที่คนตัวเล็กไม่อยากฟัง


ที่สุด


“แล้วเมื่อไหร่น้องจะหาบ้างล่ะ"


“รอพี่มีแฟนก่อน ไม่ก็รอให้คนคนนั้นกลับมา"


"คนไหน"


"คนที่ลูกค้านิรนามเอาไปโพสต์พันทิปตามหาให้ไง พี่เชื่อปะ สักวันเขาอาจจะโผล่มาที่นี่ก็ได้นะ”


*เหวอ ก้าม โคงจะตีเนาะ อ่ะ! โกโก้กับลาเต้ของเราสองคน”


เหมือนคินทร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจัดการหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดตรงนั้นที ตรงนี้ที่จนสะอาดเอี่ยมอ่อง ก่อนจะเดินตรงดิ่งมายังมุมใกล้ๆ ซึ่งมีใคร บางคนนั่งอยู่


"ผมว่างแล้ว อยากคุย" เสียงทุ้มเอ่ยออกมา พลางนั่งลงตรง เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคนตัวเล็ก


"เพื่อนเหรอ"


"น่ารักอ่ะ"


"แฟนมั้ง แต่ไม่ใช่หรอก พี่เขาไม่มีแฟนนี่นา"


. เสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนภายในร้านดังแทรกขึ้นเป็นระยะ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่าพวกเขาทั้งคู่


“มันจะดีเหรอ ผมไม่อยากมีปัญหากับแฟนคลับของคุณซะด้วย


"เมืองน่านตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง


ลืมไปเลยเรื่องกลับมาเจอกันด้วยการโผเข้ากอด จูบเบาๆ ที่ ริมฝีปาก และบอกว่าคิดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรงกันข้ามกลับเลือกกล่าว ทักทายธรรมดาราวกับเจอกันทุกวัน ซึ่งมันก็มีเค้าความจริงอยู่ นิดหน่อยตรงที่พวกเขามักเจอกันในฝันเสมอ


"ประชดผมหรือเปล่าเนี่ย”


"เปล่า แต่คุณฮอตจริงๆ นะ"


“ก็เหมือนคุณนั่นแหละ เดี๋ยวนี้พวกเด็กวิศวฯ ยังตามจีบคุณอยู่


"ผมฟาดเรียบหมดแล้ว" ริมฝีปากบางยิ้มกรุ้มกริ่มกับการตอบ


ทีเล่นทีจริงของตัวเอง


"มีแฟนหรือยัง หมายถึงคุณ....มีหรือยัง” เหมือนคินทร์ถามต่อ


"คงจะมีอยู่หรอก ก็มัวแต่รอใครบางคนอยู่ รอแทบตายยังไงก็ ไม่กลับมา ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่าอยากให้ผมตามหา จะได้ เจอกันให้เร็วกว่านี้”


"ความจริงมันยังไม่ถึงเวลาด้วยซ้ำ แต่ก็เอาเถอะ มาเจอกัน ตอนนี้ก็ดีนะ อย่างน้อยเราต่างก็คิดถึงกันมากพอจนอยู่เฉยไม่ได้”


"ถ้าอย่างนั้นคุณก็คิดถึงผมไม่มากพอน่ะสิ เพราะคุณยังอยู่ที่


เติม"


"ผมอยู่ไม่สุขนานแล้วถ้าคุณยังพอจำได้ กลับมาหาคุณนับครั้ง ไม่ถ้วน สุดท้ายผมกลับพบว่าตัวเองเริ่มเหนื่อยและควรลงหลักปักฐาน ให้ชีวิตตัวเองสักที เพราะหวังมาตลอดว่าสักวันคุณจะต้องเดินทางมา พักและทิ้งตัวที่นี่เหมือนกัน แต่ถึงคุณไม่ตามหา สักวันผมก็กลับไปอยู่


"จริง "


"อืม...มีกำหนดการแล้ว"


"เมื่อไหร่"


"อีกสองปี"


"นานชะมัด นี่ถ้าผมไม่เจอคุณก่อน กว่าเราจะเจอกันคงอีกสอง


ปีเลยใช่มั้ย"


"อาซะ ตอนที่ผมสร้างเนื้อสร้างตัวและดูแลคุณได้ดีกว่านี้ ตอนที่คุณเรียนจบและโตพอจะตัดสินใจเลือกทางเดินสำคัญให้กับ


ตัวเองได้


"ตอนนี้ก็เลือกได้"


"ยัง"


“นี่ใช่มั้ยที่เรียกว่ารอเวลาให้ผมเป็นอิสระ ทำไมไม่บอกตั้งแต่ วันนั้น ปล่อยให้ผมรออย่างไม่มีจุดหมายได้ยังไง"


"ถ้าคุณเรียนคณะอื่นที่ใช้เวลาเรียนแค่สี่ปี ไม่ใช่หกปี ผมคงจะ บอกคุณนานแล้ว แต่ที่เลือกไม่บอกคือกลัวว่าเราจะเจอกันก่อน และ อีกไม่นานเราก็ต้องจากกันอีก เหมือนตอนนี้...คุณทำใจได้เหรอที่พรุ่งนี้ มะรืนนี้เราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก น่าน....ผมไม่อยากให้คุณเคยชินกับ ชีวิตที่มีผมในตอนนี้เลยจริงๆ"


เหมือนคินทร์เคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นแบบนั้น หลายครั้งที่ เมืองน่านมักไม่เข้าใจการกระทำและความคิดแปลกประหลาดของคน ตัวสูง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเป็นเหมือนคินทร์คือตัวตนที่เขา หลงรัก


"ไม่ทันแล้ว เราเจอกันแล้ว เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบ ด้วยการไม่ไปไหนอีก แค่อยู่ที่เดิม ส่วนผมจะเป็นฝ่ายมาหาคุณเอง” เมืองน่านต่อรอง เขาคิดว่ามันไม่ยากเลยกับการตั้งใจเรียนให้จบในอีก สองปี และระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ก็ไม่ได้ไกลจนมาหากัน ไม่ได้


การพบกันก่อนเวลาบางทีก็ดีกว่าต้องรอต่อไปโดยไม่ได้รับรู้ ความเป็นอยู่ของกันและกัน


"ไม่เหนื่อยเหวอ มาหา


"รอเหนื่อยกว่า เพราะงั้นถึงอยากมา จะมาบ่อยๆ เลยด้วย


“สองปีที่ไม่ได้เจอกันน่ารักขึ้นเยอะนะ”


"แต่คุณไม่เปลี่ยนไปเลย คุณยังเหมือนเดิม”


"ไม่หล่อขึ้นเลยเหรอ"


"ก็ยังหล่อเหมือนเดิมไง”


"คุณเป็นยังไงบ้างนับจากวันนั้น” น้ำเสียงของเหนือแผ่วเบา ราวกับจะหายไปกับอากาศ คงไม่มีใครอยากพูดถึงความทรมานใน ช่วงเวลาที่ต้องรอคอยหรอก


ตื่นขึ้นมาก็นึกถึง หลับก็ฝันหา กาปฏิทินและอธิษฐานด้วย ประโยคเดิมๆ จนกลัวว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเบื่อและไม่อยากช่วยเขาให้ สมหวังสักที เมืองน่านเผชิญสถานการณ์แบบนั้นถึงสองปีเต็ม รอโดย ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางจะสิ้นสุดที่ตรงไหน


มันไม่เหมือนการเดินทางของคนทั่วไปซึ่งมีกำหนดวัน เดินทางก็ต้องมีกำหนดกลับตายตัว แต่สำหรับเหนือนอินทร์มันไม่มี เลย รู้แค่ว่าเขาจะกลับมา แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แค่นั้นเอง...


"ผมเหรอ คิดถึงคุณ"


“และก็กลับไปมีเพื่อน มีสังคมเดิมๆ หมอกกับปีเป็นแฟนกัน แล้วนะ แม่กับพี่ก็ดีครับ ส่วนพ่อเขาดีขึ้นนะ อย่างน้อยก็ถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบกันบ้าง ยอมให้ผมตัดสินใจและเลือกสิ่งที่อยากเป็น เรา ไม่ได้ทะเลาะกันกลางโต๊ะอาหารเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และที่สำคัญผมก็ เลิกไปเต้นยั่วที่คลับแล้วด้วย"


"ช่า" ใบหน้าหล่อเหลาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จนทำให้คน


โดยรอบหันมามองเป็นตาเดียว


นี่มันธรรมดาเสียที่ไหน ลูกค้าเคยเห็นแต่รอยยิ้ม แต่ไม่เคยมี ครั้งไหนที่จะเห็นคนตัวสูงหัวเราะอย่างลืมตัวเหมือนครั้งนี้มาก่อน


"อยากรู้เรื่องพี่หมอทัตมั้ย"


"อ่า....ตามสบายถ้าคุณอยากเล่า”


"เขาหมั้นแล้ว ที่สำคัญคือไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวกับที่ครอบครัว หาให้ด้วย เดี๋ยวนี้เขาเด็ดเดี่ยวขึ้นเยอะ ได้เลือกทางเดินของตัวเอง ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักนะ เธอเป็นพยาบาล


“ฝากแสดงความยินดีกับเขาด้วย"


"แล้วคุณล่ะ คุณเป็นยังไงบ้างกับการเดินทางยาวนานถึงสองปี


"สองเดือนแรกอยู่อเมริกา ผมต้องพูดกับสตีฟอยู่นานกว่าเขา จะเข้าใจว่าผมเป็นยังไง เขาเริ่มให้อิสระผม หลังจากนั้นผมก็เริ่มออก เดินทางไปทั่วแหละตราบเท่าที่เงินยังมี


"คุณกลับไปหาพ่อบุญธรรมของตัวเองบ้างหรือเปล่า"


"แน่นอน เดือนละครั้งเพราะเขาคือครอบครัว"


"แล้วคุณอยากกลับไปหาพ่อจริงๆ บ้างมั้ย"


“สักวัน สักวันจะกลับไปพร้อมกับคุณ แต่ไปในฐานะที่เขาเป็น พ่อของผม ไม่ใช่เขาที่เป็นครอบครัว คุณรู้อยู่แล้วใช่มั้ย” เมืองน่าน พยักหน้าหมึกหงัก แน่ใจแล้วว่าเหมือนคินทร์คงจะไม่กลับเข้าไปอยู่ใน ครอบครัวของเขาอีกแล้ว เพราะถ้าหาอย่างนั้นก็หมายความว่าความ พยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของทั้งคู่กำลังสูญเปล่า

โดยรอบหันมามองเป็นตาเดียว


นี่มันธรรมดาเสียที่ไหน ลูกค้าเคยเห็นแต่รอยยิ้ม แต่ไม่เคยมี ครั้งไหนที่จะเห็นคนตัวสูงหัวเราะอย่างลืมตัวเหมือนครั้งนี้มาก่อน


"อยากรู้เรื่องพี่หมอทัตมั้ย"


"อ้า....ตามสบายถ้าคุณอยากเล่า


"เขาหมั้นแล้ว ที่สำคัญคือไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวกับที่ครอบครัว หาให้ด้วย เดี๋ยวนี้เขาเด็ดเดี่ยวขึ้นเยอะ ได้เลือกทางเดินของตัวเอง ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักนะ เธอเป็นพยาบาล"


"ฝากแสดงความยินดีกับเขาด้วย"


"แล้วคุณล่ะ คุณเป็นยังไงบ้างกับการเดินทางยาวนานถึงสองปี


“สองเดือนแรกอยู่อเมริกา ผมต้องพูดกับสตีฟอยู่นานกว่าเขา จะเข้าใจว่าผมเป็นยังไง เขาเริ่มให้อิสระผม หลังจากนั้นผมก็เริ่มออก เดินทางไปทั่วแหละตราบเท่าที่เงินยังมี


"คุณกลับไปหาพ่อบุญธรรมของตัวเองบ้างหรือเปล่า"


“แน่นอน เดือนละครั้งเพราะเขาคือครอบครัว"


“แล้วคุณอยากกลับไปหาพ่อจริงๆ บ้างมั้ย"


"สักวัน สักวันจะกลับไปพร้อมกับคุณ แต่ไปในฐานะที่เขาเป็น พ่อของผม ไม่ใช่เขาที่เป็นครอบครัว คุณรู้อยู่แล้วใช่มั้ย” เมืองน่าน พยักหน้าหมึกหงัก แน่ใจแล้วว่าเหมือนอินทร์คงจะไม่กลับเข้าไปอยู่ใน ครอบครัวของเขาอีกแล้ว เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็หมายความว่าความ พยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของทั้งคู่กำลังสูญเปล่า

เหมือนคินทร์พร้อมจะตอบแทนบุญคุณพ่อที่แท้จริงด้วยวิธีอื่น วิธีที่ดีกว่าการหลีกหนีจากเมืองน่านตลอดชีวิต และเขาต้องจมทุกข์กับ มันจนกว่าจะตาย เขาไม่ยอมแน่ๆ


"อ่า....เบียร์รสชาติดีชะมัด” คนตัวเล็กเปลี่ยนเรื่อง พอแล้วกับ


ความเจ็บปวด แค่ได้รู้ว่าที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างโอเคก็เพียงพอแล้ว "ผมซื้อมาจากญี่ปุ่นเมื่อเดือนก่อน แต่ต้องระวังหน่อยนะ ไอ้ ยี่ห้อนี้กินง่ายแต่ก็เมาง่ายเหมือนกัน


"ผมคอแข็งน่า"


“ตอนผมไม่อยู่ ดื่มเบียร์หนักขนาดนี้เลยเหรอ”


"ไม่หรอก นานๆ ที"


ดวงตาคมหรี่มองร่างบางกระดูกกระป๋องเบียร์ด้วยสีหน้าเปื้อน ยิ้มครั้งแรกในรอบสองปีที่แอลกอฮอล์เข้าปากแล้วเมืองน่านไม่ร้องไห้ ออกมา


“น่าน....ไหนๆ คุณก็บังเอิญตามหาผมจนเจอแล้ว"


"อืม"


"งั้นเราเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ”


คนตรงข้ามนิ่งงัน ผสานสายตากับคนตัวสูงไม่คลาดเคลื่อน ราวกับลิ้นของเขาถูกแช่แข็งเอาไว้ กว่าจะยอมเปล่งเสียงออกมาก็ ทําให้คนรอใจเสียไปเกือบห้านาที


"ผมล่ะเบื่อคุณจริงๆ"

“กว่าจะยอมพูดออกมาได้ ทำเอาผมนั่งรออยู่ตั้งนาน" และในวินาทีนั้น ความรักครั้งใหม่ของเหนือนอินทร์กับ เมืองน่านก็เริ่มขึ้น และมันไม่มีทางจบลงอย่างแน่นอน


ช่วงบ่ายคนในร้านยังคงพลุกพล่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำเลของ ร้านที่ตั้งใกล้มหาลัยขนาดใหญ่ หรือเจ้าของร้านหน้าตาดีกันแน่ ถึงได้ เรียกลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะสาวๆ ในชุดนักศึกษา


เมืองน่านทำได้แค่จิบเบียร์และฟังเพลงที่ร้านเปิดเอาไว้คลอไป เรื่อยๆ ส่วนเหมือนคินทร์ก็ขยันขันแข็งทำเครื่องดื่มไปเรื่อยๆ เพราะ ร้านไม่มีพนักงาน ความจริงแล้วเขาก็อยากช่วยอยู่หรอก รับเมนูบ้าง เสิร์ฟบ้าง แต่วิธีการสั่งและรับออเดอร์แบบเดิมมันดีอยู่แล้ว เขาก็เลย ทำได้แค่นั่งเฉยๆ


"พี่คะ มีเบอร์มั้ย" เด็กสาวมหาลัยคนหนึ่งเดินไปทักทายคนตัว สูงถึงเคาน์เตอร์ เมืองน่านจึงเหลือบตามองเล็กน้อยและเอาแต่เกาแก้ม ไปมา


"มีครับ ติดที่ป้ายข้างหน้าเลย


"เบอร์พี่หรือเปล่าคะ"


“ครับ โทรมาถามได้นะ ส่วนใหญ่ร้านจะปิดเฉพาะวันพุธครับ ตั๋วหนังลด ต้องไปดูหนัง” สองปีที่ไม่ได้เจอกัน สำหรับเมืองน่านแล้ว เหมือนดินทร์กวนตีนขึ้นเยอะ


"ไม่อยากโทรมาถามเรื่องร้านค่ะ อยากถามเรื่องหัวใจ”


"กรี๊ดดดดดดดด” สาวเจ้าส่งเสียงร้องกันยกใหญ่

“กว่าจะยอมพูดออกมาได้ ทำเอาผมนั่งรออยู่ตั้งนาน" และในวินาทีนั้น ความรักครั้งใหม่ของเหนือนอินทร์กับ เมืองน่านก็เริ่มขึ้น และมันไม่มีทางจบลงอย่างแน่นอน


ช่วงบ่ายคนในร้านยังคงพลุกพล่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำเลของ ร้านที่ตั้งใกล้มหาลัยขนาดใหญ่ หรือเจ้าของร้านหน้าตาดีกันแน่ ถึงได้ เรียกลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะสาวๆ ในชุดนักศึกษา


เมืองน่านทำได้แค่จิบเบียร์และฟังเพลงที่ร้านเปิดเอาไว้คลอไป เรื่อยๆ ส่วนเหมือนคินทร์ก็ขยันขันแข็งทำเครื่องดื่มไปเรื่อยๆ เพราะ ร้านไม่มีพนักงาน ความจริงแล้วเขาก็อยากช่วยอยู่หรอก รับเมนูบ้าง เสิร์ฟบ้าง แต่วิธีการสั่งและรับออเดอร์แบบเดิมมันดีอยู่แล้ว เขาก็เลย ทำได้แค่นั่งเฉยๆ


"พี่คะ มีเบอร์มั้ย" เด็กสาวมหาลัยคนหนึ่งเดินไปทักทายคนตัว สูงถึงเคาน์เตอร์ เมืองน่านจึงเหลือบตามองเล็กน้อยและเอาแต่เกาแก้ม ไปมา


"มีครับ ติดที่ป้ายข้างหน้าเลย


"เบอร์พี่หรือเปล่าคะ"


“ครับ โทรมาถามได้นะ ส่วนใหญ่ร้านจะปิดเฉพาะวันพุธครับ ตั๋วหนังลด ต้องไปดูหนัง” สองปีที่ไม่ได้เจอกัน สำหรับเมืองน่านแล้ว เหมือนดินทร์กวนตีนขึ้นเยอะ


"ไม่อยากโทรมาถามเรื่องร้านค่ะ อยากถามเรื่องหัวใจ”


"กรี๊ดดดดดดดด” สาวเจ้าส่งเสียงร้องกันยกใหญ่


"เอ่อ...น้อง...."


"แซวค่ะพี่อย่าคิดมาก ก็เห็นเพื่อนมนุษย์อิงก์บอกมาว่าเจ้าของ ร้านหล่อเลยต้องแซวซะหน่อย" "ขอบคุณครับ งั้นเอาไปเลย” รีบเอี้ยวตัวไปหยิบกระดาษแข็งๆ


สีขาวขึ้นมา


"อะไรเหรอคะ"


"ใบสะสมแต้ม ซื้อสิบแถมหนึ่ง มาบ่อยๆ นะ ขอบคุณครับ”


"โหยยยยยยยยย พี่อ่ะ!!"


ชีวิตแบบเหมือนคินทร์ตอนนี้ก็ดูมีความสุขดี


พอลูกค้ากลุ่มใหญ่ออกไป ร่างสูงก็มีเวลาปลีกวิเวกกลับมาชวน คนรักของเขาคุยอีกครั้ง อยากอยู่หรอก....ไล่ทุกคนออกไปและใช้เวลา อยู่ด้วยกัน แต่ความเป็นจริงมันทำอย่างนั้นไม่ได้


"คุณ"


"น่าน เมาหรือเปล่าเนี่ย" เหนือเอ่ยถามออกไป เพราะ สังเกตเห็นแววตาปรือของคนตัวเล็กซึ่งกำลังจดจ้องหน้าจอโทรศัพท์ มือถืออยู่ ดูเหมือนเมืองน่านจะมุ่งมั่นกับการพิมพ์ข้อความตอบใคร บางคนอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่สนใจคนรอบข้างเลยด้วยซ้ำ


"เปล่า ผมโอเค"


"ถ้าไม่ไหวก็บอก จะได้พาขึ้นไปนอนข้างบน"

ไม่อ่ะ กลัวคุณซุกกิ๊กไว้บนนั้น" "ลองขึ้นไปดูก่อนมั้ยล่ะ"


เงียบ ร่างเล็กไม่ยอมพูดอะไรต่อนอกจากกดมือถือจนนิ้วแทบ พันกัน บนโทรศัพท์มีอะไร


"คุณง่วงมั้ย"


"หิวข้าวปะ"


“นี่คุณรู้หรือเปล่าเนี่ยว่าผมเป็นแฟนคุณ"


“อาฮะ!” น่านเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามเล็กน้อย แต่ก็ยัง


ไม่สนใจอยู่ดี


“แล้วคุณจะไม่ฟังผมเลยเหรอ"


"ห้องน้ำอยู่ไหนอ่ะ"


"ซ้ายมือ" นิ้วเรียวชี้ไปยังประตูสีขาวซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก เหมือนดินทร์คิดว่าเขาคงเผลอทำอะไรสักอย่างที่ทำให้คนตัวเล็ก ไม่พอใจเป็นแน่


ไม่ถึงห้านาทีเมืองน่านก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนไม่ อาจคาดเดาได้ว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน นอกจากจ้องมองอยู่ ห่างๆ มองดูกายเล็กเดินไปตรงเคาน์เตอร์ก่อนจะหันมาถามเขาด้วย

น้ำเสียงห้วนๆ


"มีปากกาเมจิกมั้ย"


“ในลิ้นชัก”


“โอเค”


แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นปากกาเคมีด้ามใหญ่ และสองเท้าก็ มุ่งหน้าไปยังกำแพงร้านซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพแห่งความทรงจำของเขา ทั้งคู่มากมายเมืองน่านปักด้ามปากกาลงไปและเขียนไม่หยุด เขียนทับ ภาพเหล่านั้นราวกับจะทำลายให้แหลกคามือ


"คุณคะ ที่นี่มีกฎห้ามเขียนกำแพงร้านนะคะ"


"คุณ!!"


ลูกค้าหลายคนพยายามห้ามปรามแต่ก็ไม่ได้ผล เมืองน่าน ยังคงระบายอารมณ์ด้วยการเขียนข้อความนับไม่ถ้วนลงไป เหนือ นคินทร์เองก็ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ เขาไม่ได้ห้ามหากเมืองน่านจะ ทำลายทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตารูปแล้วรูปเล่าที่ถูกระบายและฉีกทิ้งจน หล่นร่วงลงกับพื้น


ไม่มีใครเก็บ และถูกเหยียบย่ำด้วยคนตัวเล็กจนสาแก่ใจ


En..."


แต่มีรูปหนึ่งที่เขาไม่สามารถทำลายมันได้ ทันทีที่เห็นภาพนั้น เมืองน่านตัดสินใจปล่อยปากกาลงและยืนร้องไห้เหมือนเด็กๆ ท่ามกลางสายตาของคนมากมายซึ่งมองด้วยความตกใจแกมสงสัย เหมือนดินทร์ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปสวมกอดคนที่เอาแต่ร้องไห้ แม้ฝึก ฝ่ายจะเอาแค่คุย ไม่หยุดก็ตาม

เหมือนคินทร์ ไอ้คนนิสัยไม่ดี ปล่อยให้คนอื่นรอเป็นปีๆ ที่แท้ก็หนีมามีความสุขคนเดียว


"ไอ้บ้า ไหนบอกจะรีบกลับมา ทำไมถึงปล่อยให้รอนานขนาดนี้


ทำไม!"


ทุกครั้งที่หลับตานอน....เขาจะภาวนาไม่ให้เช้าวันใหม่ต้องเจอ แต่เรื่องเดิมๆ แต่ความทรงจำที่ผ่านมาของเมืองน่านก็มีเพียงเท่านี้ ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อรอแค่คนคนเดียว นี่คือเรื่องซ้ำซากที่เขาต้องเจอใน ทุกวันและไม่มีทางปล่อยวางทุกอย่างลงได้ ตราบใดที่คนตัวสูงยังไม่ กลับมา


"ทำไมต้องเป็นพี่ด้วย เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอที่หายไป "แล้วเป็นเมืองน่านไม่ได้เหรอที่เข้าใจ”


"มันยังไม่ถึงเวลาของเรา แล้ววันต่อมาพี่ก็ต้องปล่อยเราไป ทนไม่ได้หรอก...ใครจะทนได้ สู้ไม่เจอกันยังจะดีกว่า” เหมือนคินทร์ กระชับร่างบางเอาไว้ เมืองน่านซบหน้าลงกับอกกว้างร้องไห้ สะอึกสะอื้นราวกับเด็กถูกขัดใจ แต่ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าทำไมพวกเขา สองคนถึงไม่สมควรเจอกันก่อน


เพราะสุดท้าย ยังไงก็ต้องลงเอยที่คำบอกลาอยู่ดี


"อีก...ผมขอโทษ ผมแค่...อยากเจอฟ"


"ไม่เป็นไรๆ" เสียงทุ้มกล่าวปลอบโยนซ้ำๆ กดริมฝีปากลงบน กลุ่มผมนุ่มพร้อมกับโยกคนตัวเล็กไปมา ไม่มีใครในร้านพูดหรือต่อว่า

ลงนอน เหลือบตามสั่งลายสูงบ้างเป็นบางครั้ง แต่ถึงยังไงเขาก็ นอนไม่หลับอยู่ดี เขาอยากพูด อยากคุย อยากกอดเหมือนคินทร์เอาไว้ จนกว่าจะหลับไปมากกว่า


"พี่เหนือ ผมนอนไม่หลับ ขอไปนั่งหน้าระเบียงนะ"


"ได้สิ"


ร่างบางพยักหน้าเข้าใจ พร้อมกับชั้นตัวลุกขึ้นมาจากเตียง เดินตรงไปยังระเบียงที่อยู่ด้านนอกซึ่งปลูกกุหลาบเอาไว้หลายกระถาง บ้านหลังนี้ราวกับภาพวาดในความฝันของเมืองน่าน ด้านล่างเป็น ร้านกาแฟ ด้านบนมีกุหลาบปลูกเอาไว้เต็มระเบียง แม้แต่ทางเดินขึ้น บันไดก็มีภาพถ่ายติดเอาไว้เต็มไปหมด


ตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาคาดว่าเหมือนคินทร์คงถ่ายภาพและ อ่านหนังสือไปเยอะมาก สังเกตได้จากภาพถ่ายและหนังสือที่มีอยู่เต็ม ตู้ จนบางส่วนต้องถูกวางกองเป็นตั้งๆ อยู่บนพื้น


เมืองน่านทิ้งตัวนั่งลงตรงระเบียง เหม่อมองออกไปด้านนอก ซึ่งไม่ได้มืดสนิทเหมือนกับบ้านไม้สีเบจหลังนั้น แต่กลับเต็มไปด้วย แสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง ซึ่งเขาคิดว่ามันก็สวยไปอีกแบบ ถึงยังไง ซะ...บนท้องฟ้าก็ยังเห็นดาวชัดเจนอยู่ดี


"เบียร์มั้ย" มือหนายื่นกระป๋องเบียร์แนบแก้มคนตัวเล็ก ขณะ ที่มืออีกข้างก็ถือเบียร์อีกกระป๋องเอาไว้เช่นกัน


"กะมอมผมหรือไง" เจ้าตัวเงยหน้ามองคนมาใหม่ที่เตรียมจะ


ทิ้งตัวนั่งลงเช่นกัน


“ถ้าเมาก็ดีสิจะได้ไม่เถียง เอาให้หมดฤทธิ์ไปเลย"


"เหอะ! ผมบอกแล้วไงว่าผมคอแข็ง แล้วพี่ไม่กลับไปทำงานต่อ

ใดๆ ออกมาอีก นอกเสียจากเหนือนอินทร์ที่ต้องหันไปบอกกล่าวกับ ทุกคนให้หายตื่นตระหนกจากการกระทำไม่คาดฝันของคนตัวเล็ก


"ขอโทษครับ แฟนผมเอง เขาคือคนในรูป"


“เพราะงั้น ปล่อยเขาทำลายไปเถอะครับ"


ถึงยังไงเขาก็เริ่มต้นถ่ายภาพกับเมืองน่านได้เสมอ


แต่มีเพียงภาพเดียวที่ยังติดอยู่บนผนังและพวกเขาไม่สามารถ ถ่ายมันขึ้นมาได้อีก นั่นคือผืนทรายที่ถูกเขียนเป็นชื่อของพวกเขา มีตากล้องมือใหม่ที่ชื่อว่าเมืองน่าน และที่สำคัญมันไม่ชัดเอาเสียเลย.....


นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าต่อให้ถ่ายใหม่ยังไงความรู้สึกก็คงไม่ เหมือนเดิมความรู้สึกอันเลือนรางในความทรงจำ


หมอกกับปีเข้านอนแล้ว...


เมืองน่านสรุปประเด็นหลังจากปิดโทรศัพท์มือถือและคลานขึ้น เตียงตามคนตัวสูงไปติดๆ กายบางสวมเสื้อผ้าหลวมโพรกของคนรัก เพราะไม่ได้พกอะไรติดตัวมาเลยนอกจากมือถือกับกระเป๋าสตางค์


“ยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงหวานถาม จ้องมองไปที่หน้าจอ แล็ปท็อปซึ่งวางอยู่บนตักของคนตัวสูง และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจดจ่อ กับสิ่งนั้นซะเหลือเกิน


"ยัง เรานอนก่อนเถอะ"


"พรุ่งนี้พี่จะเปิดร้านมั้ย"


"ไม่" นับเป็นคำตอบที่ดี เมืองน่านคิดอย่างนั้นก่อนล้มตัว

เสร็จเหรอ"


“เสร็จแล้ว”


"อืม..." กระป๋องเบียร์ถูกเปิดอย่างรวดเร็ว เขาชอบเวลาที่ได้ นั่งจิบเบียร์กับคนรัก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ความรู้สึกมัน คล้ายกับอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกแห่งความจริงและความฝัน แอลกอฮอล์ช่วยกระตุ้นให้มึนเมาเล็กน้อย และหลังจากนั้นบทสนทนา ของพวกเขาก็จะสนุกขึ้น


"พี่สร้างบ้านหลังนี้ได้กี่ปีแล้ว"


"หนึ่งปีกับอีก 25 วัน"


"ไม่เห็นส่งการ์ดขึ้นบ้านใหม่มาให้ผมบ้างเลย"


"ไม่ได้จัดซะหน่อย จะมีได้ไง แค่ทำบุญเล็กๆ แล้วก็ย้ายเข้ามา อยู่เลย” หากจะย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น เหมือนคินทร์ก็ไม่ได้อยู่ตัว คนเดียว แต่ยังมีเพื่อนและรุ่นน้องแวะเวียนมาหาตลอด ทุกคนรู้ดีว่า ไม่สมควรให้เมืองน่านรู้ดังนั้นจึงไม่มีใครปริปากออกมาว่าเขาเริ่มต้น ชีวิตใหม่ที่นี่แล้ว


"พี่เคย....เคยคิดที่จะลืมผมและมีแฟนมั้ย แบบ...อย่างที่เห็น เมื่อกลางวัน มีหลายคนอยากทำความรู้จักพี่ คือถ้า....ถ้าไม่เคย ให้สัญญากับผมที่จะคบกับใครสักคนมั้ย”


“ไม่” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


"ทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญา พี่เลือกผมทำไม”


"ก็อยากดูแล อยากใช้ชีวิตแฟร์ๆ กับใครสักคน" ร่างบาง ขมวดคิ้วมุ่น บางทีเขาก็สงสัยในคำตอบของคนรัก

ยังไง"


"คนอื่นๆ เขาไม่ได้รักที่พี่เป็นพี่หรอก เขารักที่หน้าตา แต่กับ เมืองน่านไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้สึกของเราเริ่มต้นที่ติดลบแล้วก็เลื่อน มาเป็นศูนย์ กระทั่งมันเต็มร้อยในวันที่เราขาดกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องเลือกคนอื่น การดูแลเราคือสิ่งที่พี่ต้องทำ เหมือนพี่...ที่ต้องดูแลชีวิตตัวเอง"


"พี่ถึงต้องรอให้เราเรียนจบและพร้อมจะดูแลพี่ตอบ ถึงตอนนั้น กลับมาที่นี่นะ คงแฟร์ดีที่ไม่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาเปรียบกัน แต่เรา จะดูแลกันและกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..."


"เรื่อยๆ" เมืองน่านพูดย้ำ เผยรอยยิ้มออกมาจนตาหยี "จนวันสุดท้าย"


ครับ จนวันสุดท้าย"


มือหนาเอื้อมมาจับท้ายทอยคนตัวเล็กเอาไว้ ทั้งใบหน้าหวาน เข้ามาใกล้ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบแนบชิดกันมากกว่าเดิม เหนือ นคินทร์ไล้ริมฝีปากของเขาบนปากเล็กอย่างละเมียดละไม ขบเม้ม บางเบาก่อนร่างบางจะเปิดปาก ปล่อยให้ปลายลิ้นอุ่นชื้นสัมผัสแตะต้อง กันและกัน


ซึมซับความคิดถึงด้วยจูบของพวกเขา ซ้ำแล้ว....ซ้ำเล่า ต่อให้ เหมือนจะขาดอากาศหายใจเขาก็จะไม่ยอมหยุด เมืองน่านหลับตาพริ้ม เงยหน้ารับจูบจากอีกฝ่ายจนแทบจะละลายไปกับอากาศ ร่างสูงจูบๆ ตรงจุดเดิมควานหาความหวานในโพรงปากจนร่างเล็กสั่นระริกด้วย ความรู้สึกมากมายที่กำลังถาโถมเข้ามา

เหมือนคินทร์ช้อนร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดขณะริมฝีปากยัง ไม่ละออกจากกัน สาวเท้ากลับเข้าไปในห้องนอนและวางร่างอ่อน ปวกเปียกลงบนเตียงนุ่ม ปัดแล็ปท็อปเจ้าปัญหาออกไปไกลเพราะคน ตรงหน้าเย้ายวนยิ่งกว่าช็อกโกแลตหอมหวานและสิ่งอื่นใดบนโลก


คืนนั้น ในหัวใจของพวกเขามีความสุขลอยวนอยู่เต็มไปหมด


เมืองน่านอยู่ได้ในทุกที่ที่มีเหนือนอินทร์ อยู่ได้แม้ต้องละทิ้ง ทุกอย่างและเดินเท้าเปล่าอย่างที่อยากทำมาตั้งแต่แรก เริ่มต้นกันใหม่ จับมือไปด้วยกัน อีกไม่นานพวกเขาจะมีรองเท้าใส่แต่ก็ยังคงเดินไป ข้างหน้าไม่หยุดหย่อน


พวกเขาไม่ใช่คนตัวเปล่าอีกแล้ว


เมืองน่านและเหนือนอินทร์มีกันและกัน แค่ต้องรอเวลา


เท่านั้น....


"พี่..."


"ครับ"


"ผมรักพี่นะ"


"พี่ก็เหมือนกัน"


เมืองน่านไม่เคยรู้


ไม่เคยรู้เลยว่าหน้าจอแล็ปท็อปที่ยังสว่างอยู่ปลายเตียง มี อักษรที่ถูกพิมพ์โดยเหมือนคินทร์เอาไว้ เพื่อขอบคุณกระทู้ที่ทำให้เขา ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแม้จะเร็วไปถึงสองปีก็ตาม


ความเห็นที่ 632

ขอบคุณกระทู้นี้ครับ ที่ทำให้ผมได้เจอกับเขาอีกครั้ง











Comments

Popular posts from this blog

Makalah Bandung Lautan Api

hhg

20 Karakter Cowok Tertampan Di Anime Naruto